Trending News

Blog Post

กอนช. ชี้ "สถานการณ์น้ำ" ปีนี้ ความรุนแรงไม่เท่า ปี 54
สังคม

กอนช. ชี้ "สถานการณ์น้ำ" ปีนี้ ความรุนแรงไม่เท่า ปี 54 

รอง ผอ. กอนช. สุรสีห์ กิตติมณฑล ชี้ "สถานการณ์น้ำ" ปีนี้ความรุนแรงไม่เท่า ปี 54 ด้วยเหตุหลายปัจจัยที่ต่างกัน สยบข่าวอาจเกิดน้ำท่วมซ้ำรอยมหาอุทกภัยเมื่อ 11 ปี ก่อน

สถานการณ์ฝนตกหนักและเกิดภาวะน้ำท่วมในพื้นที่ กรุงเทพฯและปริมณฑล   รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างพื้นที่ภาคตะวันออก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณจังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดเลย ทำให้มีสื่อหลายสำนักและนักวิชาการบางคนออกมาให้ข่าวว่า  อาจจะเกิด "น้ำท่วม"ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 2554 โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาซึ่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ 

แต่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอนช.กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ(สสน.) ได้คาดการณ์ในช่วงปลายฤดูฝนจะมีปริมาณฝนตกมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ โดยเฉพาะในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2565  อาจเกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันได้แต่ก็ใช่ว่า "สถานการณ์น้ำ" จะรุนแรงเทียบเท่าปี 2554

     สถานการณ์น้ำปี 65

 

มหาอุทกภัยในปี 2554 นั้น มีสาเหตุสำคัญมาจาก พายุหลายลูกเคลื่อนตัวผ่านและส่งผลให้ประเทศไทยได้รับอิทธิพลโดยตรง รวมทั้งยังเกิดร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันฝนประจำฤดูก็ยังตกหนักและมาเร็วกว่าปกติอีกด้วย ทำให้ปริมาณฝนตกสะสมทั้งประเทศสูงกว่าค่าเฉลี่ยมากถึง 35%  

 

นอกจากนี้ในช่วงครึ่งปีแรก เกิดปรากฏการณ์ลานีญาที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้มีปริมาณฝนมากกว่าปกติทุกเดือน   การระบายลงสู่ทะเลก็ค่อนข้างทำให้ยาก เพราะเกิดน้ำทะเลหนุนบ่อยครั้ง ประกอบกับมีสิ่งกีดขวางทางน้ำมากมายทั้งจากธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

 

นอกจากนี้ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่โดยเขื่อนที่เป็นแหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มเจ้าพระยา ไม่ว่าจะเป็นเขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิติ์  เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์   มีปริมาณน้ำไหลลงอ่างอย่างต่อเนื่องจนน้ำเต็มความจุ ทำให้ต้องระบายน้ำออก  รวมทั้งยังมีมวลน้ำจำนวนมากจากลุ่มน้ำยมที่ไม่มีเขื่อนขนาดใหญ่กักเก็บไว้ ผนวกกับปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ท้ายเขื่อนไหลลงมาสบทบ จนทำให้เกิดมหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา  สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ามหาศาล

 

ส่วน "สถานการณ์น้ำ" ในปี 2565 แม้จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญา  ทำให้ฝนมาเร็ว หลายพื้นที่ของประเทศมีปริมาณน้ำฝนสะสมสูงขึ้นเช่นเดียวกับปี 2554 ก็ตาม แต่ความรุนแรงจนถึงขณะนี้ยังไม่เท่ากับปี 2554  รวมทั้งพายุที่เกิดขึ้นมีเพียง  2-3 ลูก ที่มีอิทธิพลต่อประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้พัดผ่านโดยตรง

 

ในขณะเดียวกันรัฐบาลได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม13มาตรการรับมือฤดูฝนอย่างเคร่งครัดอีกด้วย

 

ประกอบด้วย 1.คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยง  2.การบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำ 3.ทบทวน ปรับปรุงเกณฑ์บริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ  4.ซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารชลศาสตร์  5.ปรับปรุงแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ  6.ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา  7.เตรียมพร้อมวางแผนเครื่องจักร เครื่องมือ ประจำพื้นที่เสี่ยง  8.เพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงวิธีการส่งน้ำ  9.ตรวจความมั่นคงปลอดภัยคันทำนบพนังกั้นน้ำ 10.เตรียมพื้นที่อพยพและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ 11.ตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัย  12.การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ 13.ติดตามประเมินผล ปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์  

 

ปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2554 ได้ถูกนำมาถอดบทเรียนวางแผนแก้ไข รับมือ "สถานการณ์น้ำท่วม" ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ ได้มีการมีแก้ไขปรับปรุงขุดลอกคลอง กำจัดผักชวา ขยะ ต้นไม้ กิ่งไม้ อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำออกสู่ทะเล  เช่นเดียวกับปัญหาความซ้ำซ้อน ไม่มีเอกภาพก็ได้รับการแก้ไขเช่นกัน  ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ก็ได้มีการตั้งศูนย์ส่วนหน้าเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ โดยได้จัดตั้งไปแล้วที่ จ.อุบลราชธานี

 

และเตรียมตั้งศูนย์ในภาคกลาง ที่ จ.ชัยนาท อีกแห่ง เพื่อเตรียมความพร้อม ติดตาม ประเมินวิเคราะห์ "สถานการณ์น้ำ" และอำนวยการหน่วยงานในพื้นที่ บริหารจัดการมวลน้ำช่วงฤดูฝนให้เกิดความเป็นเอกภาพจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย  

     พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

 

ในขณะที่การบริหารจัดการน้ำภาพรวมทัั้งประเทศ ได้จัดตั้ง กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ซึ่งมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการ ขึ้นมาบูรณาการหน่วยงานด้านน้ำที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ร่วมกันวางแผนบริหารจัดการน้ำให้เป็นหนึ่งเดียว  และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนติดตามเฝ้าระวัง ป้องกัน  และเตือนภัย สถานการณ์น้ำ พร้อมทั้งมีการประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องทุกช่วงเวลา

 

ล่าสุดพลเอก ประวิตร สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ฝนตกอย่างเข้มข้นพร้อมทั้งกำชับให้ดำเนินงานตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่ได้วางแผนไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาลดปัญหาน้ำท่วมให้กับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและทั่วถึงทุกพื้นที่

 

ส่วนปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศในปีนี้ แตกต่างจากปี 2554  ณ วันที่ 10  กันยายน 2565  มีปริมาณน้ำใช้การรวม  49,887 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 65 % ของปริมาณการกักเก็บเท่านั้น ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกถึง 26,201 ล้านลบ.ม.  

 

ในขณะที่ปี  2554 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่และขนาดกลางมากถึง  58,563 ล้านลบ.ม. เฉพาะลุ่มเจ้าพระยาปริมาณใน 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิติ์  เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  ณ วันที่ 10 กันยายน 2565 มีปริมาณน้ำรวม 13,792 ล้านลบ.ม.  คิดเป็น 55% ของปริมาณการกักเก็บ  ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกถึง 11,079 ล้านลบ.ม. เมื่อเทียบกับปริมาณปี 2554 ในช่วงเวลาเดียวกัน 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ำรวมกันถึง 21,416 ล้านลบ.ม. ต่างกันมากกว่า 10,000 ล้านลบ.ม.  

 

นอกจากนี้ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ยังจะใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ 10 ทุ่ง สำรองเพิ่มเติมกรณีที่จำเป็นเพื่อไว้เป็นแก้มลิงรองรับน้ำหลากในช่วงกลางเดือนก.ย.- ต.ค.นี้  จะสามารถหน่วงปริมาณน้ำหลากได้ประมาณ 1,500 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งขณะนี้เกษตรกรเริ่มทยอยเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดในช่วงกลางดือน ก.ย.นี้  เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร(กทม.) ก็ได้เตรียมพื้นที่รับน้ำไว้เช่นกัน

 

ดังนั้นหากวิเคราะห์จาก "สถานการณ์น้ำเหนือ" ณ ปัจจุบันแล้ว สบายใจได้ว่า ถ้าฝนตกเหนือเขื่อนแล้ว จะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นลุ่มน้ำเจ้าพระยาอย่างแน่นอนเพราะเขื่อนต่าง ๆจะสามารถกักเก็บไว้ได้ทั้งหมด ปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มาจากฝนที่ตกท้ายเขื่อนและฝนตกในพื้นที่ทั้งหมด ไม่ได้มาจากน้ำเหนือ  ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงไม่เท่ากับปี 2554 หากฝนหยุดตก ก็จะใช้ระยะเวลาในการระบายน้ำออกสู่ทะเลไม่ยาวนาน

 

อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมวิทยาได้คากการณ์สถานการณ์ฝนในประเทศไทยว่า ยังคงมีต่อเนื่องหนักบ้างเบาบ้างสลับกันในแต่ละวัน มีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง  ประกอบกับ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ยังมีกำลังปานกลาง ทั่วทุกภาคยังต้องเฝ้าระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม อาจจะทำให้เกิดน้ำท่วม ฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้   

 

"ในช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. 65 ประเทศไทยจะมีปริมาณฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ซึ่ง กอนช.ได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยที่อาจเกิดน้ำท่วม ตลอด 24ชั่วโมง และให้ดำเนินงานตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำและเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ

 

ที่สำคัญต้องวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม  โดยปรับแผนการระบายน้ำจากเขื่อนและประตูระบายน้ำเพื่อพร่องน้ำ รวมทั้งให้บริหารพื้นที่ลุ่มต่ำให้เป็นแก้มลิงหน่วงน้ำ  เร่งระบายน้ำในลำน้ำจากพื้นที่ตอนบน ลดผลกระทบความรุนแรงของอุทกภัย  ตลอดจนเตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงความพร้อมของระบบสื่อสารสำรอง เพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที  

 

ดังนั้นหากวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในปีนี้จนถึงปัจจุบัน  ตลอดจนการดำเนินงานตามมาตรการต่าง ๆ ในการรับมือฤดูฝนของหน่วยงานภาครัฐแล้ว และพลเอกประวิตร ได้ออกมาการันตีว่าเหตุการณ์จะไม่ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 2554 แน่นอน"  ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอนช.กล่าว

 

ติดตาม คมชัดลึก ที่นี่

เพิ่มเพื่อน Line: https://lin.ee/qw9UHd2

Facebook : https://www.facebook.com/komchadluek/

เช็กรายชื่อศิลปินเข้าชิง "คมชัดลึก ลูกทุ่ง Awards 2565" ใครคือ 6 Candidate กับ 8  สาขา Popular Vote ได้ที่นี่   

( https://awards.komchadluek.net/# )

Related posts

© Copyright 2018, All Rights Reserved