World Diabetes Day "วันเบาหวานโลก" วันที่รณรงค์สร้างความตื่นรู้ หลังผู้ป่วย "โรคเบาหวาน" สูงขึ้น ถูกจัดให้เป็นสาเหตุการตาย อันดับ 3 ของโรคไม่ติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
"วันเบาหวานโลก" (World Diabetes Day) เป็นการรณรงค์หลักสร้างความตื่นรู้ในระดับโลกถึง โรคเบาหวาน และจัดขึ้นทุกวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี เริ่มขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2534 โดย สหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ และ องค์การอนามัยโลก เพื่อสนองต่อการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของเบาหวานทั่วโลก
สัญลักษณ์ คือ วงกลมสีฟ้า โดย วงกลม สื่อถึงชีวิตและสุขภาพ สีฟ้า สื่อถึง ท้องฟ้า ซึ่งของทุกชาติจะเป็นหนึ่งเดียวกัน "วงกลมสีฟ้า" จึงหมายถึง การรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของชุมชน ที่เกี่ยวข้องกับเบาหวานเพื่อเผชิญกับภาวะ เบาหวาน ทั่วโลก
โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus: DM) ถูกจัดให้เป็นสาเหตุของการตายเป็น อันดับ 3 ของโรคไม่ติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิต โรคแทรกซ้อนที่สำคัญของผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นสาเหตุของการตาย คือ โรคไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน นอกจากนี้ผู้ป่วยเป็นเบาหวานมีโอกาสตาบอด เนื่องจากจอประสาทตาเสื่อมสูงกว่าคนปกติถึง 25 เท่า และมีโอกาสถูกตัดขาด เนื่องจากเกิดแผลตายเน่าที่เท้ามากกว่าคนปกติถึง 40 เท่า
โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ร่างกายมี น้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากการขาดฮอร์โมน อินซูลิน (Insulin) หรือการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้กระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนเกิดน้ำตาลสะสมในเลือดปริมาณมาก
หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาวะนี้เป็นเวลานานจะทำให้อวัยวะต่างๆ เสื่อม เกิดโรคและอาการแทรกซ้อนขึ้นได้ ซึ่งในปัจจุบันจำนวนผู้ป่วย โรคเบาหวาน ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าผู้ป่วยรายใหม่อาจเพิ่มประมาณปีละ 3 แสนคน และคนอายุยังน้อยหรืออายุ 15 ปีขึ้นไปที่เริ่มป่วยเป็น โรคเบาหวาน ก็มีจำนวนมากขึ้นด้วย
อาการของ โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน ในระยะแรกจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจตรวจพบโรคเบาหวานเมื่อพบภาวะแทรกซ้อนแล้ว อาการของโรคเบาหวานแต่ละชนิดอาจคล้ายกัน ซึ่งอาการที่พบส่วนใหญ่คือ กระหายน้ำมาก ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลดหรือเพิ่มผิดปกติ สายตาพร่ามัว เห็นภาพไม่ชัด รู้สึกเหนื่อยง่าย มีอาการชา โดยเฉพาะมือและขา บาดแผลหายยาก
ทั้งนี้ อาการของ โรคเบาหวาน ประเภทที่ 1 จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 จะแสดงอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มักเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 24–28 สัปดาห์
สาเหตุของ โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน มีหลายประเภท ซึ่งสามารถแยกสาเหตุของโรคเบาหวานตามประเภทที่พบโดยทั่วไปออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
– เบาหวานประเภทที่ 1 (Type 1 Diabetes) เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้
– เบาหวานประเภทที่ 2 (Type 2 Diabetes) เกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้ไม่เพียงพอต่อการใช้ หรือเกิดภาวะการดื้ออินซูลิน (Insulin Resistance)
– เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes) ซึ่งเป็นโรคเบาหวานที่พัฒนาขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์จากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยที่ผู้ป่วยไม่เคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน
นอกจาก โรคเบาหวาน ทั้ง 3 ประเภท ยังมีโรคเบาหวานที่พบได้ไม่บ่อยอย่างโรคเบาหวานที่เกิดจากกรรมพันธุ์หรือแบบโมโนเจนิก (Monogenic Diabetes) และโรคเบาหวานจากสาเหตุอื่นๆ เช่น ยารักษาโรคบางชนิด หรือโรคชนิดอื่นอย่างโรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis)
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด โรคเบาหวาน ก็เช่น คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 หรือ 2 มาก่อน อายุที่มากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป มีน้ำหนักตัวมาก ไม่ค่อยออกกำลังกายหรือขยับตัว รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ หรือมีปัญหาสุขภาพอย่างโรคความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดสูง
การรักษา โรคเบาหวาน
การรักษาผู้ป่วยเบาหวานในประเภทที่ 1 จำเป็นต้องได้รับ ฮอร์โมนอินซูลิน เข้าไปทดแทนในร่างกายด้วยการฉีดยาเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม
ในขณะที่ โรคเบาหวาน ประเภทที่ 2 หากเป็นในระยะแรกๆ สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลัง และควบคุมน้ำหนัก หากอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจให้ยาควบคู่ไปด้วยหรือฉีด อินซูลิน เข้าไปทดแทนเช่นเดียวกับ โรคเบาหวาน ชนิดที่ 1
สำหรับผู้เป็น โรคเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ ควรเข้าฝากครรภ์กับแพทย์ตั้งแต่ในระยะแรก พร้อมทั้งควบคุมอาหารที่รับประทานและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์
นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดแผลเบาหวานขึ้นที่เท้า แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใส่อุปกรณ์ป้องกันแผล เช่น รองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เฝือก หรือผ้าพันแผล หากแผลเริ่มมีลักษณะรุนแรงขึ้น แพทย์อาจวางแผนการรักษาตามเหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแผลเบาหวานที่เป็น ทั้งนี้ หากรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจต้องตัดอวัยวะทิ้งเพื่อป้องกันอาการลุกลาม
ภาวะแทรกซ้อนของ โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ หากไม่มีการควบคุมการรับประทานอาหารและดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี ปล่อยให้ ระดับน้ำตาล ในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อเส้นเลือดที่นำสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกายจนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
ทั้งโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดเล็ก เช่น เบาหวานขึ้นตา หรือโรคไต โรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน รวมไปถึงโรคแทรกซ้อนที่ระบบประสาทและโรคแทรกซ้อนที่สามารถทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียอวัยะบางส่วน นอกจากนี้ สตรีมีครรภ์ที่เป็น โรคเบาหวาน จะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษและการแท้งบุตรได้
การป้องกัน โรคเบาหวาน
สิ่งสำคัญของการป้องกัน โรคเบาหวาน ทุกชนิดคือ ต้องคอยหมั่นระวังระดับน้ำตาลในเลือดและคอเลสเตอรอลให้อยู่เกณฑ์ปกติ เน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วน มีกากใยสูง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ รวมถึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
หากเป็นสตรีมีครรภ์ควรเข้ารับการฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และเข้ารับการตรวจคัดกรองเบาหวานหากมีความเสี่ยง เพื่อที่จะสามารถตรวจพบโรคเบาหวานได้ในระหว่างการตั้งครรภ์
Related posts
- เพื่อไทย กระทุ้ง พล.อ.ประยุทธ์ คืน 'บ้านพักหลวง' – ลุงตู่ แจงต้องแก้กฎกระทรวง
- อาลัย 'น้องเบนซ์' รร.ราชวินิตมัธยม เหยื่อ ถังดับเพลิง ระเบิด พบ ทำเพจดัง
- เรื่องย่อ 'ปิดเมืองล่า PATTAYA HEAT' หนังไทยฟอร์มยักษ์ ทุ่มทุนสร้าง 100 ล้าน
- ปรับโอน ‘เงินบำนาญชราภาพ’ ผู้ประกันตน ‘เดือนตรงเดือน’
- กนอ. เซ็นเอ็มโอยู รับมือเหตุไฟไหม้ ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู-ลาดกระบัง
Lastest
เพื่อไทย กระทุ้ง พล.อ.ประยุทธ์ คืน 'บ้านพักหลวง' – ลุงตู่ แจงต้องแก้กฎกระทรวง
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดประเด็น กดดันนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถึงเวลาแสดงสปิริต เมื่อพ้นจากตำแหน่งผู้นำ ควรคืน "บ้านพักหลวง" ชี้ด้วยบทบาทข้าราชการการเมืองไม่ควรนำเอาระเบียบกองทัพมาใช้ ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ เป็นเรื่องของกติกาเดิม ถ้าจะแก้ไขต้องไปแก้กฎกระทรวง
กนอ. เซ็นเอ็มโอยู รับมือเหตุไฟไหม้ ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู-ลาดกระบัง
การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จับมือบริษัท อำนวยการดับเพลิง ร่วมระงับเหตุอัคคีภัย หรือ ไฟไหม้ ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู-ลาดกระบัง