ทำความรู้จัก "ภาษีขายหุ้น" ที่กลับมาในรอบ 30 ปี คืออะไร เปิด 8 กิจการ-กองทุน แบบไหนไม่ต้อง เสียภาษี หลัง ครม. เคาะผ่าน
ภายหลังจากที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบการจัดเก็บ "ภาษีขายหุ้น" ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการจัดเก็บภาษีจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนที่ 4 นับจากเดือนที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือ มีระยะเวลาให้ผู้ขายหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์ มีเวลาปรับตัว 3 เดือน
โดยในปีแรกหลังกฎหมายบังคับใช้ จะให้เก็บในอัตราเพียง 0.05% ก่อน มีผลจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2566 จากนั้นจะเก็บในอัตราปกติ 0.1% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 เป็นต้นไป เพราะเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยให้โบรกเกอร์เป็นผู้จัดเก็บให้ เพราะต้องเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ซื้อขายหุ้นอยู่แล้ว
ภาษีขายหุ้นคืออะไร
ภาษีขายหุ้น หรือ Transaction Tax เป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax) โดยจะคิดคำนวณจากรายรับ ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเดิมประเทศไทย เคยมีการเก็บภาษีขายหุ้น ในอัตรา 0.1% มาตั้งแต่ พ.ศ. 2521 โดยขณะนั้น เรียกว่า ภาษีการค้าสำหรับรายรับ จากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ และได้มีการยกเว้นไป ในปี 2525 ก่อนจะกลับมาเก็บอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2534 ภายใต้ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534
โดยมีบทบัญญัติให้การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ เป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยคิดจากรายรับก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ของการขายหลักทรัพย์ และได้มีการยกเว้นอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2535 แล้วเมื่อจะกลับมาเก็บ ทำให้หลายฝ่ายได้รับผลกระทบ เพราะไม่ว่ารายการที่เกิดขึ้นนั้น จะทำให้นักลงทุนได้กำไร หรือขาดทุน ก็จะต้องเสียภาษีนี้เพิ่มขึ้นมาเสมอ
ภาษีขายหุ้น ใครต้องจ่าย
ใน พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 30) พ.ศ. 2534 มีบทบัญญัติให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ ผู้ขาย แต่สมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ (Broker) มีหน้าที่หักภาษีธุรกิจเฉพาะจากเงินที่ขาย และยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษี แทนผู้ขายในนามตนเอง โดยผู้ขายไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีอีก และให้ถือว่า Broker เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีด้วย
กิจการใดได้รับยกเว้นภาษีขายหุ้น
ทั้งนี้ การจัดเก็บภาษีขายหุ้นในครั้งนี้ จะทำให้รายได้ภาษีธุรกิจเฉพาะของรัฐ เพิ่มขึ้นในปีแรกของการจัดเก็บ 8,000 ล้านบาท และในปีต่อ ๆ ไป ของการจัดเก็บปีละ 16,000 ล้านบาท