คลี่ปม ศึกทวงหนี้ "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ค้างมาแล้ว 3 ปี 4 หมื่นกว่าล้าน จะจบที่จ่ายหนี้ หรือ ขยายสัญญาสัมปทานต่ออีก 30 ปี
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน คนกรุงเทพฯ มีรถไฟฟ้าสายแรกใช้งาน ซึ่งเป็นเส้นทางที่วิ่งผ่ากลางเมืองจากฝั่งใต้ไปฝั่งเหนือของกรุงเทพมหานครอย่าง "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ในเส้นทางหมอชิต-อ่อนนุช และฝั่งธนบุรี ข้ามมายังฝั่งกรุงเทพมหานครอย่างสายสีลมในเส้นทาง สนามกีฬาแห่งชาติ-วงเวียนใหญ่ โดยรถไฟฟ้าเส้นนี้เอกชนเป็นผู้รับภาระก่อสร้างทั้งหมด ทั้งระบบโครงสร้าง และระบบการเดินรถ ภายใต้เงื่อนไขระยะเวลาสัญญาสัมปทาน 30 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2542-2572
แต่เมื่อเมืองขยายใหญ่ขึ้น ประชาชนมีความต้องการใช้บริการ "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" เพิ่มขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่กรุงเทพมหานครจะต้องมีการพิจารณาสร้างรถไฟฟ้าสายสีเชียวส่วนต่อขยายช่วงที่หนึ่ง จากอ่อนนุช-แบริ่ง และ โพธิ์นิมิตร-บางหว้า ระยะทาง รวม 12.75 กม. โดยเริ่มเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2554-2556 โดยการบริหารจัดการในส่วนนี้ กทม.ในยุค ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ KT ว่าจ้าง บีทีเอส ด้วยวิธีพิเศษเป็นผู้เดินรถและดูแลระบบทั้งหมดระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี (พ.ศ.2555-2585)
หลังจากนั้นรัฐบาลได้ มีมติให้ก่อสร้างโครงการ "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ส่วนต่อขยายที่ช่วง 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต รวมเป็นระยะทาง 32 กม. โดยรัฐเป็นผู้แบกรับค่าโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด ซึ่งได้มอบหมายให้ รฟม.เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง เนื่องจาก กทม.ไม่มีอำนาจข้ามเขตจังหวัด กทม.เป็นผู้มอบหมายให้ KT ดำเนินการว่าจ้างให้บีทีเอสเดินรถบำรุงรักษา พร้อมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้า
ในปี 2558 กระทรวงคมนาคมเสนอ ครม.ให้โอน "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ให้ กทม. เป็นผู้ดูแลทั้งเส้นทาง
ในปี 2560 พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ขณะนั้น ลงนามใน สัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ที่ 2 ระหว่างกรุงเทพธนาคม และบีทีเอส ครอบคลุมระยะเวลา 25 ปี พ.ศ. (2560-2585) เป็นการเปิดให้บริการฟรีโดยยังไม่เก็บค่าโดยสาร ซึ่ง ภาระค่าดำเนินการบีทีเอสเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ค่าจ้างเดินรถและบำรุงรักษา (O&M) จำนวน 18,000 ล้านบาท ค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) 20,000 ล้านบาท
ปัญหาการบริการจัดการ "รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ดูเหมือนจะเริ่มมีปมขึ้นมามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ เมื่อปี 2561 ครม.มีมติโอนย้ายรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งเส้นทาง รวมกับภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายคืน รฟม.อีกจำนวน 60,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าก่อสร้างระบบโครงสร้าง รวมไปถึงค่าดำเนินการว่าจ้างเดินรถ ซึ่งทำให้ กทม.ตกอยู่ในสถานะที่ต้องแบกรับหนี้สินมากถึง 100,000 ล้านบาท ปัจจุบันการโอนย้ายยังไม่จบสิ้นกระบวนการ
เมื่อปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกทั้งค่าเดินรถ ค่าระบบต่าง ๆ ที่ บีทีเอส กู้มาดำเนินการและเฝ้ารอวันที่จะได้รับการชำระหนี้ตามกฎหมายยังดูเหมือนจะไร้วี่แวว ทำให้ในช่วงปี 2562 คสช. ได้มีคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เรื่องการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อให้การเดินรถเป็นไปอย่างต่อเนื่องในโคงข่ายเดียวกัน (Through Operation) โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเจรจาสัมปทาน เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การแบ่งปันผลประโยชน์จากค่าโดยสาร เจรจากับผู้รับสัมปทานรายเดิม และจัดร่างสัญญาร่วมลงทุน แต่ดูเหมือนความคืบหน้าและควาดเจนในการจ่ายเงินส่วนที่เอกชนต้องจ่ายไปจะยังไม่ได้ข้อสรุป แต่อย่างใด
ประมาณกลางปี 2565 บีทีเอสเดินหน้าฟ้องศาลปกครอง เพื่อทวงหนี้กทม. โดยแบ่งหนี้สินออกเป็นทั้งหมด 3 ส่วน ดังนี้
หลังจากนั้น นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ได้ออกมาทวงหนี้อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรก หลังจากที่ กทม.ค้างจ่ายเงินมานานกว่า 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2562-2565 พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยร้องขอให้มีการต่อสัญญาสัมปทาน 30 ปี เพียงแต่ต้องการให้ ลูกหนี้จ่ายหนี้คืนเท่านั้น
ดูเหมือนว่าการเดินหน้าฟ้องศาลปกครองเพื่อทวงหนี้จะไมได้ผล ทำให้ล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา นายคีรี ได้ปล่อยคลิปวีดีโอ ทวงหนี้สายสีเขียวจำนวน 40,000 กว่าล้านบาท โดยสรุปใจความว่า
"คนเราจะอดทนกับการแบกหนี้ได้นานแค่ไหน…ทำงานแต่ไม่ได้เงิน ต้นทุนเพิ่มขึ้นทุกวัน… ผู้มีอำนาจโยนไปโยนมา ไร้การตัดสินใจ ถึงเวลาเข้ามาจัดการปัญหา อย่าหนีปัญหา…อย่าปล่อยให้เอกชนสู้เพียงลำพัง ถึงเวลาจ่ายหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว 40,000 ล้าน #ติดหนี้ต้องจ่าย"
คลิปดังกล่าวทำให้กทม. ต้องแถลงชี้แจงเรื่องราวดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยสามารถสรุปใจความได้ว่า
ส่วนต่อขยายที่ 1
กทม. ไม่ได้มีเจตนาจะไม่ชำระหนี้เนื่องจาก กทม. ได้มีการสนับสนุนค่าบริการเดินรถและซ่อมบำรุงมาตลอดจนถึงเดือน เม.ย. 2562 จนกระทั่งมีคำสั่ง คสช. เมื่อวันที่ 11 เม.ย. 2562 ที่ได้มีการตั้ง คณะกรรมการดำเนินโครงการ และ ได้มีการเจรจาให้ เอกชน รับภาระค่าจ้างเดินรถของส่วนต่อขยายที่ 1 ตั้งแต่ พ.ค. 2562 (ระบุไว้ในร่างสัญญาร่วมทุน)
• มูลค่าหนี้อยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ค่าดอกเบี้ย เนื่องจาก กทม. ไม่มี เจตนาจะไมGชำระหนี้ และ สัญญาที่ กทม. ทำกับ KT ไม่ได้มีการ กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้
• กทม. เห็นว่า KT มีการจ้างที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตรวจสอบ คิด
คำนวณค่าจ้างใหม่ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงซึ่งอาจทำให้ยอดหนี้ เปลี่ยนไปไม่ตรงกับที่เอกชนฟ้อง
ส่วนต่อขยายที่ 2
• บันทึกมอบหมายยังไม่สมบูรณ์เนื่องจากยังไม่ได้รับการอนุมัติงบประมาณจากสภากรุงเทพมหานคร
• กทม. ไม่ได้มีการทำนิติกรรมโดยตรงกับ เอกชน มีเพียงการทำบันทึก
มอบหมายให้กับ KT เท่านั้น นอกจากนี้ในบันทึกข้อตกลงมอบหมาย ข้อที่ 13.3 ยังมีการระบุไว้ว่า “บันทึกข้อตกลงนี้ไม่มีผลทำให้บริษัทฯ (KT) เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของกรุงเทพมหานคร"
ทั้งนี้การชำหนี้ทั้งหมด กทม. ต้องรอความชัดเจนจาก ครม.ก่อนว่าจะขยายเวลาสัมปทานให้แก่บริษัทเอกชนหรือไม่ หากมีมติ ขยายสัญญาสัมปทานออกไปอีก 30 ปี หนี้สินทั้งหมดจะถูกโอนไปในสัญญาสัมปทานใหม่ทันที
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ชำนาญด้านโครงการและแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนและท่าอากาศยาน กล่าวว่า ทางออกของกทม. ในครั้งนี้ คือ ชำระหนี้ให้แก่บริษัทเอกชนตามที่ศาลปกครองได้มีคำสั่งไปแล้วเมื่อช่วงเดือน ก.ย. 65 ที่ผ่านมา หรือ หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ก็ควรจะมีการชดเชยให้เอกชนเป็นเวลาแทน โดยการขยายสัญญาสัมปทานให้แก่เอกชนแทน ซึ่งกรณีประชาชนอาจจะต้องจ่ายค่าโดยสารอยู่ที่ประมาณ 15-65 บาท
อย่างไรก็ตามปรากฎการณ์การทวงหนี้เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเอกชนสุดจะทนแล้ว เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายทุกวันคนเป็นหนี้ก็ต้องจ่าย หากไม่มีเงินจ่ายก็ควรชดใช้เป็นเวลาให้แทน ส่วนกรณีที่จะไม่ขยายสัญญาสัมปทานใหม่ ในเส้นทางหลักอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องรอให้สัญญาสัมปทานจบลงในปี 2585 เสียก่อน ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น หนี้สินจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ